น้ำแข็งก้อนแรกสู่ไอศกรีมแท่งแรกของไทย
ปั้นน้ำเป็นตัว หมายถึง สร้างเรื่องเท็จให้เห็นเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา ใช้กับคนที่โกหกพกลม วาจาเชื่อไม่ได้ แต่สำนวนนี้อาจจะไม่เกิดขึ้นถ้าเพียงน้ำแข็งได้เข้ามาในเขตสุวรรณภูมิเร็วกว่านี้
สำหรับปัจจุบันน้ำแข็งคงไม่ใช่ของแปลกประหลาดอะไรสำหรับคนทั่วไปอีกแล้ว เราสามารถหาน้ำแข็งจากที่ไหนเมื่อไหร่ หรือจะทำเองด้วยตู้เย็นที่บ้านก็ได้ เรียกว่าน้ำแข็งเข้ามาอยู่ในเกือบทุกอณูการดื่มของชีวิตเราไปเรียบร้อยแล้วก็ไม่ผิดนัก โดยเฉพาะในวงการนักดื่มแอลกอฮอล์แล้วน้ำแข็งถือเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ จนมีมุกตลกล้อเลียนน้ำแข็งว่า
“ เหล้า + น้ำ + น้ำแข็ง = เมา
เหล้า +โค้ก + น้ำแข็ง = เมา
วอดก้า + สไปรท์ + น้ำแข็ง = เมาอยู่ดี
เหล้า + น้ำแข็ง = เมา
เบียร์ + น้ำแข็ง = ก็ยังเมา
แสดงว่าที่เมาเพราะกินน้ำแข็งแน่นอน ”
แต่สำหรับคนโบราณที่อาศัยอยู่ในเขตร้อนอย่างเราแล้ว น้ำแข็งถือเป็นสิ่งเหลือเชื่อเหนือปาฏิหาริย์ที่ไม่น่าจะมีทางเกิดขึ้นได้เลยทีเดียว
มนุษย์นั้นรู้จักนำน้ำแข็งจากธรรมชาติมาใช้ทำความเย็นให้เครื่องดื่มมานานนับพันปีแล้วแต่ยังไม่สามารถผลิตด้วยตัวเองได้ จนเมื่อปี ค.ศ. 1790 โทมัส ฮาริส และ จอห์น ลองได้จดทะเบียนเครื่องทำความเย็นเครื่องแรกของโลกขึ้นจากเครื่องทำความเย็นในครั้งนั้นได้ถูกพัฒนาต่อยอดจนกลายเป็นเครื่องทำน้ำแข็งได้สำเร็จสามารถใช้งานได้จริงในปี ค.ศ. 1853 โดย ดร. เจม ฮาริสัน ทำให้มนุษยชาติสามารถผลิตน้ำแข็งใช้ที่ไหนในโลกก็ได้
ส่วนคนไทยเรานั้นได้เริ่มรู้จักน้ำแข็งครั้งแรกเมื่อสมัย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.4) นี้เอง ในสมัยนั้นอังกฤษได้ยึดเอาเกาะสิงคโปร์ไว้และตั้งเป็นสถานีการค้าจึงทำให้สิงคโปร์เป็นแหล่งกระจายวัฒนธรรมและของแปลกจากอังกฤษอยู่มากมายและหนึ่งในนั้นก็คือน้ำแข็งนั่นเอง
โดยน้ำแข็งก้อนแรกที่เข้ามานั้นถูกบรรจุลงในหีบ กลบด้วยขี้เลื่อยเพื่อรักษาความเย็น แล้วส่งจากสิงคโปร์ด้วยเรือเจ้าพระยา ซึ่งเป็นเรือรับส่งสินค้าระหว่างสิงคโปร์กับพระนคร เพื่อทูลเกล้าฯถวายแด่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จากนั้นพระองค์จึงพระราชทานให้เจ้านายได้ลองลิ้มชิมรสกัน สร้างความฮือฮาและตกตะลึงไปทั่วราชสำนักเป็นอย่างมากว่าฝาหรั่งปั้นน้ำเป็นตัวได้ ดังที่ปรากฏในบทความของหม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัย ดิศกุล พระธิดาในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพว่า
“ในสมัยรัชกาลที่ ๔ เรือใบเป็นเรือเมล์ เดินทางจากสิงคโปร์ – กรุงเทพฯ เป็นเวลา ๑ เดือน เวลานี้ (พ.ศ.๒๕๑๘) เรือบินใช้เวลาเพียง ๒ ชั่วโมง
เสด็จพ่อทรงเล่าว่า เวลาทำน้ำแข็งได้ใหม่ๆ ที่สิงคโปร์ กงสุลไทยจัดการเอาน้ำแข็งก้อนใหญ่ใส่ในหีบไม้ฉำฉา และขี้เลื่อยคลุมมิดชิดส่งมาทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พอถึงกรุงเทพฯ ก็เหลือก้อนขนาดชามอ่างขนาดกลาง
วันหนึ่งทูลกระหม่อมปู่เสด็จขึ้นจากทางฝ่ายหน้า ตรัสเรียกว่า “ลูกจ๋าๆๆ” พวกพระราชโอรสธิดารวมทั้งพระองค์ท่านด้วย ก็พากันวิ่งเข้าไปล้อมพระองค์ จึงเห็นว่าทูลกระหม่อมทรงถือขันทองใส่ก้อนขาวๆ อยู่ แล้วทรงหยิบก้อนเล็กๆ นั้นใส่ในพระโอษฐ์ เจ้านายเล็กๆ นั้นองค์ละก้อน ตรัสว่า “กินน้ำแข็งเสีย” แล้วตรัสสั่งให้โขลน (โปลิศหญิงในวัง) ไปตามคุณจอมมารดาวาด (ท้าววรจันทร์) ขึ้นมาดูน้ำแข็ง
โขลนเรียนท่านว่า ‘มีรับสั่งให้ท่านขึ้นไปดูน้ำแข็งเจ้าค่ะ’
คุณจอมถามว่า ‘เอ็งว่าอะไรนะ’
โขลนว่า ‘น้ำแข็งเจ้าค่ะ’
คุณจอมร้องว่า ‘เอ็งนี้ปั้นน้ำเป็นตัว’ ”
วันหนึ่งทูลกระหม่อมปู่เสด็จขึ้นจากทางฝ่ายหน้า ตรัสเรียกว่า “ลูกจ๋าๆๆ” พวกพระราชโอรสธิดารวมทั้งพระองค์ท่านด้วย ก็พากันวิ่งเข้าไปล้อมพระองค์ จึงเห็นว่าทูลกระหม่อมทรงถือขันทองใส่ก้อนขาวๆ อยู่ แล้วทรงหยิบก้อนเล็กๆ นั้นใส่ในพระโอษฐ์ เจ้านายเล็กๆ นั้นองค์ละก้อน ตรัสว่า “กินน้ำแข็งเสีย” แล้วตรัสสั่งให้โขลน (โปลิศหญิงในวัง) ไปตามคุณจอมมารดาวาด (ท้าววรจันทร์) ขึ้นมาดูน้ำแข็ง
โขลนเรียนท่านว่า ‘มีรับสั่งให้ท่านขึ้นไปดูน้ำแข็งเจ้าค่ะ’
คุณจอมถามว่า ‘เอ็งว่าอะไรนะ’
โขลนว่า ‘น้ำแข็งเจ้าค่ะ’
คุณจอมร้องว่า ‘เอ็งนี้ปั้นน้ำเป็นตัว’ ”
หลังจากความตื่นตกใจได้ผ่านไปปรากฏว่าบรรดาเจ้านายทั้งหลายและขุนนางชั้นผุ้ใหญ่กลับชอบความเย็นชื่นใจของน้ำแข็งเป็นอย่างยิ่งจนถึงขนาดต้องมีการ “อิมพอร์ต” น้ำแข็งเข้ามาอีกโดยพระยาพิสนธ์สมบัติบริบูรณ์ (ยิ้ม พิศลยบุตร) ซึ่งตอนนั้นยังมีบรรดาศักดิ์เป็นพระภาษีสมบัติบริบูรณ์อยู่
แต่ความชื่นชอบน้ำแข็งไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่เท่านั้น เพราะต่อมาสมัยพระบามสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.5) ได้มีการซื้อเครื่องทำน้ำแข็งเข้ามาไว้ในวังเพื่อทำเป็นไอศกรีมตั้งเป็นเครื่องเสวยเลยทีเดียว ซึ่งปรากฏในหนังสือ ความทรงจำสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ว่า
“ถึงเวลาค่ำเมื่อเสวย ถ้าวันไหนคนนั่งโต๊ะขาดจำนวนก็โปรดฯ ให้มาเรียกเจ้านายเด็กๆ ไปนั่งเก้าอี้ที่ว่าง ก็ได้ ‘กินโต๊ะ’ และได้กินไอศกริมก็ชอบ ไอศกริมเป็นของวิเศษในเวลานั้น เพราะเพิ่งได้เครื่องทำน้ำแข็งอย่างเล็กๆ ที่สำหรับเขาทำกันตามเมืองนอกเข้ามาถึงเมืองไทย ทำบางวันน้ำก็แข็งบางวันก็ไม่แข็ง มีไอศกริมตั้งเครื่องแต่บางวัน จึงเห็นเป็นของวิเศษ”
โดยไอศกรีมในครั้งนั้นจะทำจากน้ำมะพร้าวอ่อน ใส่เม็ดมะขามคั่ว ถือเป็นไอศกรีมชนิดแรกของประเทศไทย
จนเมื่อถึง พ.ศ.2448 โรงน้ำแข็งแห่งแรกของไทยก็ได้เปิดบริการขึ้น โดยพระยาภักดีนรเศรษฐ (เลิศ เศรษฐบุตร) ที่สะพานเหล็กล่าง ถนนเจริญกรุง ชื่อว่า “น้ำแข็งสยาม” แต่คนทั่วไปนั้นรู้จักในชื่อ “โรงน้ำแข็งนายเลิศ” ทำให้น้ำแข็งราคาถูกลงเพราะไม่ต้องนำเข้าอีกต่อไปและแพร่ไปสู่ประชาชนทั่วไปทั้งในและนอกพระนคร
ส่วนไอศกรีมนั้น เมื่อกำเนิดโรงน้ำแข็งขึ้นก็พลอยได้อานิสงค์ถูกแพร่กระจายออกไปด้วยเช่นกัน โดยช่วงแรกนั้นผลิตจากนมและครีมจากต่างประเทศทำให้มีราคาแพง ต่อมาจึงได้ดดีแปลงให้ราคาถูกด้วยการใช้กะทิแทนและแต่งกลิ่นด้วยดอกนมแมวกลายเป็นจุดเริ่มต้น “ไอติมกะทิ”ของไทยก่อนจะพัฒนามาเป็นแบบในปัจจุบันนั่นเอง
Comments
Post a Comment