นามสกุลแรกของไทย ใครเป็นเจ้าของ

     
พระราชบัญญัติขนานนามนามสกุล


          นามสกุลถือเป็นเครื่องบอกถึงความเป็นเชื้อสายเดียวกัน ความเกี่ยวพันทางสายเลือดและบอกสายตระกูล นามสกุลของแต่ละคนจึงเป็นสิ่งที่ถูกคิดและตั้งอย่างวิจิตรบรรจงเพื่อให้เป็นเกียรติและหน้าตาของวงศ์ตระกูลสืบไป

          แต่นามสกุลทั้งหมดก็ใช่ว่าจะถูกตั้งมาอย่างไพเราะเสมอไป บางครั้งเราก็มีโอกาสได้เห็นนามสกุลแปลกๆอย่าง “จ้องผสมพันธุ์” “พรหมจารีย์พินาศ” “ชอบโกหก” “จู๋ยืนยง” “โถรองมูล” ซึ่งก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเหตุผลอะไรจึงทำให้เกิดนามสกุลเหล่านี้ขึ้นมา

         ย้อนกลับไปในสมัยช่วงก่อน ร.6 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ คนสยามเรายังไม่มีนามสกุลที่ไม่ว่าจะเพราะหรือแปลกใช้กันมาก่อน เรามีเพียงชื่อชื่อเดียว เช่น ดำ แดง แกละ โก๊ะ เพื่อใช้เรียกหากัน และระบุตัวบุคคลที่ชื่อซ้ำกันด้วยการบอกว่าเป็นลูกใครแทน เช่นเดียวกับทางสแกนดิเนเวียโบราณที่จะใช้ชื่อพ่อเพื่อระบุตัวตนอย่าง “ธอร์บุตรแห่งโอดิน” ทั้งนี้อาจจะเพื่อป้องกันปัญหาคนที่นั่นสับสนจนเกิดคำถามว่ารู้ไหมกูลูกใคร? สุดท้ายจากการเรียกตัวเองว่าลูกคนนั้นลูกคนนี้ก็พัฒนาไปกลายเป็นนามสกุลของคนที่นั่นเช่น “Adersson” “Johanson” “Nilsson” “Eriksson”เป็นต้น

          กลับมาที่ประเทศไทยของเราบ้าง จากการเรียกตัวเอง ดำลูกอีเขียว หรือ จันลูกไอ้ทองดี ทำให้เราไม่สามารถสืบย้อนหาเทือกเถาเหล่ากอกลับไปได้มากนัก นอกการนี้การทำทะเบียนราษฏร์ แจ้งเกิด แจ้งตาย จดทะเบียนสมรส การใช้สิทธิ์ของความเป็นพลเมืองต่างๆก็เกิดเป็นปัญหายุ่งยากเพราะคนชื่อซ้ำกันมากมาย

          ทำให้ในวันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2455 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว(ร.6)ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัตินามสกุลขึ้น ให้คนไทยทุกคนมีนามสกุล แล้วจึงเริ่มบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2456 โดยทรงชี้แจงประโยชน์ของนามสกุลไว้ในจดหมายเหตุรายวันว่า

         “การมีชื่อตระกูลเปนความสะดวกมาก อย่างต่ำๆ ที่ใครๆ ก็ย่อมจะมองเห็นได้ คือชื่อคนในทะเบียฬสำมโนครัวจะได้ไม่ปนกัน แต่อันที่จริงจะมีผลสำคัญกว่านั้น คือจะทำให้เรารู้จักรำฤกถึงบรรพบุรุษของตนผู้ได้อุสาหก่อสร้างตัวมา และได้ตั้งตระกูลไว้ให้มีชื่อในแผ่นดิน เราผู้เปนเผ่าพันธุ์ของท่านได้รับมรฎกมาแล้ว จำต้องประพฤติตนให้สมกับที่ท่านได้ทำดีมาไว้ และการที่จะตั้งใจเช่นนี้ ถ้ามีชื่อที่ต้องรักษามิให้เสื่อมทรามไปแล้วย่อมจะทำให้เปนเครื่องยึดเหนี่ยวหน่วงใจคนมิให้ตามใจตนไปฝ่ายเดียว จะถือว่า ‘ตัวใครก็ตัวใคร’ ไม่ได้อีกต่อไป จะต้องรักษาทั้งชื่อของตัวเองทั้งชื่อของตระกูลด้วยอีกส่วนหนึ่ง”

          ต่อมาเมื่อวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๔๕๖ ด้วยความผูกพันและไว้วางพระทัยอย่างสูง พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้มีพระราชหัตเลขาถึงเจ้าพระยายมราชเป็นการส่วนพระองค์ ใจความภายในแจ้งว่าได้พระราชทานนามสกุล"สุขุม" ให้แก่เจ้าพระยายมราช(ปั้น) ตั้งแต่ยังไม่เริ่มประกาศใช้พระราชบัญญัตินามสกุล ทำให้นามสกุล “สุขุม”กลายเป็นนามสกุลแรกของไทยนับแต่นั้นมา ซึ่งใจความในจดหมายมีว่า
เนื้อความในพระราชหัตเลขาถึงเจ้าพระยายมราช

          "นามสกุลของเจ้าพระยายมราชนั้น ฉันได้ไตร่ตรองดูแล้ว เห็นว่าตัวเจ้าพระยายมราชเอง นับว่าเป็นผู้ที่ทำให้สกุลมีชื่อเสียงในแผ่นดินไทย เจ้าพระยายมราชเองได้ตั้งตนขึ้นได้โดยอาศัยคุณธรรมในตัว เป็นผู้ที่มีสติปัญญาและอุตสาหวิริยภาพมาก ยากที่จะหาผู้ใดเสมอเหมือนได้ ได้รับราชการเป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัย ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและในตัวฉันเองสืบมา
ราชการใดๆ ที่เจ้าพระยายมราชได้ปฏิบัติมา ก็ปรากฏว่าได้ใช้ความไตร่ตรองอันสุขุม ทั้งเจ้าพระยายมราชก็ได้มีชื่อเสียงปรากฏแพร่หลายมากขึ้นเมื่อเป็นพระยาสุขุมนัยวินิต จนได้มีคำว่า "สุขุมนัยวินิต" ประกอบอยู่ในสร้อยสมยา
          เพราะฉะนั้น ฉันขอให้นามสกุลเจ้าพระยายมราชว่า "สุขุม"(เขียนเป็นตัวอักษรโรมันว่า "Sukhum")เพื่อให้เป็นเกียรติยศปรากฏนามแห่งเจ้าพระยายมราช ในตำนานแห่งชาติไทย ขอให้สกุลสุขุม เจริญรุ่งเรืองมั่นคงอยู่ในกรุงสยามชั่วกาลปาวสาน”

เจ้าพระยายมราช(ปั้น สุขุม) เจ้านามสกุลแรกของประเทศไทย

          นอกจากนามสกุลสุขุมแล้ว พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานนามสกุลแก่พระบรมวงศานุวงศ์ และข้าราชบริพารผู้รับใช้ใกล้ชิด ทำผลงานแก่แผ่นดินไว้อีก 6,432 นามสกุล

          ตัดกลับมามองที่ชาวบ้าน เมื่อวันที่พระราชบัญญัตินามสกุลประกาศใช้ ความโกลาหลก็เริ่มต้นขึ้น เพราะคนส่วนมากนั้นไม่ได้ร่ำเรียนรู้หนังสือกันมา การจะตั้งนามสกุลของตัวเองจึงกลับกลายเป็นเรื่องยากยิ่งกว่าการยกค้อนมโยลเนียร์ของเทพเจ้าสายฟ้าเสียอีก แต่เมื่อกฏหมายก็คือกฏหมายชาวบ้านจึงต่างแห่กันไปจดทะเบียนนามสกุลโดยให้เจ้าหน้าที่ นายอำเภอ และเจ้าเมืองช่วยคิดนามสกุลให้สดๆกันตรงนั้น จนไม่เป็นอันทำอย่างอื่นนอกจากคิดนามสกุลกันอย่างเดียว

          จากหลักสิบ เป็นหลักร้อย เป็นพันนามสกุล สุดท้ายเจ้าหน้าที่ก็คิดต่อไม่ไหวจนมีเรื่องเล่ากันว่า สุดท้ายยนายอำเภอบางคนแก้ปัญหาด้วยการถามประชนว่า "พ่อชื่ออะไร" "แม่ชื่ออะไร" แล้วจับมารวมกันเป็นนามสกุลให้สิ้นเรื่องสิ้นราว ช่วยให้งานไหลลื่น แล้วก็ได้เก็บชื่อพ่อแม่ผู้เป็นต้นตระกูลเอาไว้ในนามสกุลด้วย

Comments